สรุป Part of speech ภาษาอังกฤษ

Part of speech

Part of speech

การเรียนรู้ Parts of Speech เป็นพื้นฐานที่สำคัญในการทำความเข้าใจและใช้ภาษาอย่างถูกต้อง มันช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจการใช้คำซึ่งแต่ละคำมีบทบาทหรือหน้าที่ที่แตกต่างกันในประโยค การรู้และเข้าใจ Parts of Speech ช่วยให้ผู้เรียนสามารถ 1. สร้างประโยคที่ถูกต้อง: การรู้ว่าคำแต่ละคำเป็นส่วนประกอบอะไร ( เช่น noun, verb, adjective, adverb, preposition, conjunction เป็นต้น) ช่วยในการสร้างประโยคที่มีความสมบูรณ์และถูกต้องตามไวยากรณ์ 2. เขียนและพูดอย่างชัดเจน: การทราบ Parts of Speech ช่วยในการเลือกใช้คำในที่ที่เหมาะสม และทำให้การเล่าเรื่องหรือการเขียนมีความคล้ายคลึงและตรงความหมายตามที่ต้องการ 3. เข้าใจประสิทธิภาพของภาษา: การรู้จัก Parts of Speech ช่วยในการเข้าใจโครงสร้างของภาษา และช่วยในการอ่านและเขียนอย่างมีประสิทธิภาพ 4. ปรับปรุงการใช้ภาษา: การรู้ Parts of Speech ช่วยในการตรวจสอบและปรับปรุงประโยคที่เขียนและพูดให้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น

ยังไงก็ตามการเรียนรู้ Parts of Speech “ส่วนของคำพูด” หรือ “ชนิดของคำพูด” เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่เป็นตัวช่วยในการเข้าใจและใช้ภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพในชีวิตประจำวันและในการสื่อสารทั้งในภาษาและการเรียนรู้ภาษาใหม่ด้วย Parts of Speech แปลว่า “ส่วนของคำพูด” หรือ “ชนิดของคำพูด” หมายความว่า คำทุกคำในภาษาอังกฤษเมื่อนำมาเรียงร้อยให้เป็นวลีหรือประโยคที่มีความหมาย ไม่ว่าจะเป็นภาษาพูดหรือภาษาเขียนจะต้องมีหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งในประโยค

ถึงเวลาที่มาศึกษา Parts of Speech “ส่วนของคำพูด” หรือ “ชนิดของคำพูด”  มีทั้งหมด 8 ชนิด และแต่ละชนิดมีหน้าที่แตกต่างกันออกไป ได้แก่

“Noun” คือคำนามในภาษาอังกฤษที่ใช้เรียกชื่อคน, สัตว์, สิ่งของ, สถานที่, ความคิด หรือคุณลักษณะต่างๆ อื่น ๆ โดยทั่วไป ตัวอย่างคำนาม (Noun) เช่น

คน (People): เช่น “teacher” (ครู), “doctor” (หมอ), “student” (นักเรียน)

สัตว์ (Animals): เช่น “dog” (หมา), “cat” (แมว), “elephant” (ช้าง)

สิ่งของ (Objects): เช่น “table” (โต๊ะ), “car” (รถยนต์), “book” (หนังสือ)

สถานที่ (Places): เช่น “school” (โรงเรียน), “park” (สวนสาธารณะ), “hospital” (โรงพยาบาล)

ความคิด (Ideas): เช่น “love” (ความรัก), “happiness” (ความสุข), “freedom” (เสรีภาพ)

โดยคำนาม (Noun) เป็นส่วนสำคัญในภาษาอังกฤษอย่างมากเพราะช่วยให้เราสามารถอธิบายและเข้าใจภาษาอังกฤษได้มากขึ้น โดยใช้ชื่อเพื่ออธิบายสิ่งต่าง ๆ ที่เราเห็น และประสบการณ์ที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเราได้ดีขึ้นในการสื่อสารและการเข้าใจสิ่งต่าง ๆ อีกด้วย คำนาม (Noun) คือคำที่ใช้เรียกชื่อคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ หรือความคิด ตัวอย่างเช่น “cat” (แมว), “book” (หนังสือ), หรือ “happiness” (ความสุข) โดยทั่วไป ในประโยคภาษาอังกฤษ “The cat is playing” (แมวกำลังเล่น) ซึ่งคำว่า “cat” คือคำนาม (Noun) เพราะเป็นชื่อของสิ่งของที่เป็นสิ่งมีชีวิต และใช้เรียกชื่อสิ่งนั้นในประโยคที่กล่าวถึงมันแต่ในกรณีของ “book” หรือ “หนังสือ” คำนี้เป็นชื่อของวัตถุหรือสิ่งของที่ใช้ในการอ่านหรือศึกษา และ “happiness” หรือ “ความสุข” เป็นชื่อของความคิดหรืออารมณ์ที่มีอยู่ภายในจิตใจของคน เช่น “Finding happiness is important” (การค้นหาความสุขสำคัญ) ในกรณีนี้ “happiness” เป็นคำนาม (Noun) เพราะเป็นชื่อของความคิดหรือสถานการณ์ทางอารมณ์ ที่ถูกอธิบายในประโยคในฐานะคำนามคำหนึ่ง

Pronoun” คือคำที่ใช้แทนคำนามหรือคำเสมอคำนามเพื่อเลี่ยงการใช้คำนามเดิมซ้ำหรือเพื่อแทนสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วในบริบทที่เรากำลังพูดถึง เรียกกันว่า “คำสรรพนาม” ตัวอย่างของคำสรรพนาม (Pronoun) ได้แก่

Personal pronouns (ตัวบุคคล): เช่น “He” (เขา), “She” (เธอ), “They” (พวกเขา)

Possessive pronouns (แสดงความเป็นเจ้าของ): เช่น “his” (ของเขา), “her” (ของเธอ), “their” (ของพวกเขา)

Demonstrative pronouns (ที่บ่งชี้): เช่น “this” (นี้), “that” (นั้น), “these” (เหล่านี้), “those” (เหล่านั้น)

Indefinite pronouns (ที่ไม่เจาะจง): เช่น “everyone” (ทุกคน), “anything” (อะไร), “somebody” (ใครบางคน)

ตัวอย่างประโยคการใช้คำสรรพนาม (Pronoun) : “She is going to the school.” ในประโยค “She is going to the school” คำว่า “She” เป็น pronoun ที่ใช้แทนชื่อของคนหญิง เพื่อเลี่ยงการใช้ชื่อเดิมซ้ำ เมื่อเราต้องการพูดถึงคนนั้นอีกครั้ง การใช้ pronoun ช่วยให้ประโยคมีความกระชับและชัดเจนมากยิ่งขึ้น และช่วยลดความซ้ำซ้อนของคำในประโยคทำให้การสื่อสารเป็นไปได้อย่างเป็นระบบและกระชับขึ้น

Verb” คือคำหรือกลุ่มคำที่ใช้แสดงการกระทำ (อาจเป็นการกระทำที่ทำโดยคนหรือสิ่งของ) หรือสภาวะของประธาน ในประโยค ตัวอย่างของ Verb หรือคำกริยา ได้แก่:

กระทำ (Action): เช่น “run” (วิ่ง), “eat” (กิน), “write” (เขียน)

สภาวะ (State): เช่น “be” (เป็น), “seem” (ดูเหมือน), “exist” (มีอยู่)

ตัวอย่างประโยค: “She runs every morning.” ในประโยค “She runs every morning” คำว่า “runs” เป็น Verb หรือคำกริยา ที่ใช้แสดงการกระทำที่เป็นอิสระของประธาน “She” การใช้ Verb หรือคำกริยาช่วยให้เราเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับประธานในประโยค เช่นการกระทำหรือสภาวะที่มีอยู่ เป็นส่วนสำคัญในการสร้างประโยคที่มีความหมายและทำให้การสื่อสารเป็นไปอย่างเข้าใจได้ดี

“Adjective” คือคำที่ใช้เสริมคุณลักษณะหรือลักษณะพิเศษของคำนามหรือคำสรรพนาม ในภาษาอังกฤษ ส่วนใหญ่จะมาต่อหลังคำนามหรือคำสรรพนาม เพื่อแสดงลักษณะทางกายภาพ อารมณ์ คุณลักษณะ หรือคุณสมบัติของสิ่งนั้นๆ อย่างไรบางที การใส่ Adjective หรือที่เรารู้จักกันว่า คำคุณศัพท์ ก็ช่วยให้เราเข้าใจลักษณะของสิ่งนั้นได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างของ Adjective หรือที่เรารู้จักกันว่า คำคุณศัพท์ ได้แก่ “big” (ใหญ่), “beautiful” (สวย), “fast” (เร็ว), “delicious” (อร่อย), “interesting” (น่าสนใจ) เป็นต้น การใช้ Adjective ในประโยค:

“She has a beautiful garden.” (เธอมีสวนที่สวยงาม)

“He drove his car fast.” (เขาขับรถเร็ว)

“The big elephant is eating.” (ช้างตัวใหญ่กำลังกิน)

“Adverb” คือคำหรือกลุ่มคำที่ใช้เสริมความหมายของคำกริยา คำคุณสมบัติ หรือคำอื่นๆ เพื่อระบุลักษณะของการกระทำ คุณลักษณะ หรือเหตุการณ์ต่างๆในประโยค มักจะเข้าไปต่อหลังคำกริยา เพื่อบ่งบอกถึงประการกระทำ ลักษณะของการกระทำ หรือลักษณะอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับคำกริยาหรือคำอื่น ๆ Adverb หรือคำกริยาวิเศษณ์ส่วนใหญ่มักลงท้ายด้วย -ly คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับ adverb ได้แก่ “slowly” (ช้าๆ), “quickly” (อย่างรวดเร็ว), “happily” (อย่างมีความสุข), “carefully” (อย่างระมัดระวัง), “loudly” (อย่างดัง) เป็นต้น ตัวอย่างการใช้ adverb ในประโยค:

“She sings beautifully.” (เธอร้องเพลงได้อย่างไพเราะ)

“He speaks fluently.” (เขาพูดได้อย่างคล่องแคล่ว)

“They ran quickly to catch the bus.” (พวกเขาวิ่งอย่างรวดเร็วเพื่อจะได้ตามรถเมล์)

“Preposition” คือคำที่ใช้เชื่อมส่วนต่าง ๆ ของประโยคเข้าด้วยกัน และช่วยให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างคำหรือวลีต่าง ๆ ในประโยค preposition หรือคำบุพบท มักจะอยู่ก่อน noun, pronoun, หรือ clause เพื่อบ่งบอกถึงตำแหน่ง ทิศทาง หรือเวลา โดยบ่งบอกความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่าง ๆ ของประโยค เช่น ตำแหน่งของสิ่งของ ทิศทาง หรือเวลา ซึ่งคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับ preposition หรือคำบุพบท ได้แก่ “in” (ใน), “on” (บน), “at” (ที่), “under” (ใต้), “between” (ระหว่าง), “before” (ก่อน), “after” (หลัง), “during” (ระหว่าง), “beside” (ข้าง), “beyond” (เกิน) เป็นต้น ตัวอย่างการใช้ preposition ในประโยค:

“The book is on the table.” (หนังสืออยู่บนโต๊ะ)

“She is waiting at the bus stop.” (เธอกำลังรอที่ป้ายรถเมล์)

“The cat is under the bed.” (แมวอยู่ใต้เตียง)

“Conjunction” หรือคำสันธาร คือคำที่ใช้เชื่อมส่วนต่าง ๆ ของประโยคเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคำ วลี หรือประโยค เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ หรือชัดเจนมากขึ้น โดยจะเป็นตัวเชื่อมสองส่วนที่มีความสัมพันธ์ใกล้เคียงหรือตรงข้ามกัน เช่น การบ่งบอกเงื่อนไข การบ่งบอกเหตุผล การบ่งบอกเวลา หรือการเชื่อมสองประโยคเข้าด้วยกัน ซึ่งคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับ conjunction หรือคำสันธาร ได้แก่ “and” (และ), “but” (แต่), “or” (หรือ), “because” (เพราะ), “while” (ขณะที่), “although” (ถึงอย่างไร), “if” (หาก), “since” (ตั้งแต่) เป็นต้น มาลองดูตัวอย่างการใช้ conjunction ในประโยคกันครับ:

“She is tall and she is smart.” (เธอสูง และเธอฉลาด)

“He likes tea, but he doesn’t like coffee.” (เขาชอบชา แต่เขาไม่ชอบกาแฟ)

“You can have pizza or pasta for dinner.” (คุณสามารถเลือกพิซซ่า หรือพาสต้าสำหรับอาหารเย็น)

“Interjection” คือคำอุทาน หรือ คำ วลี หรือประโยคที่ใช้เพื่อแสดงความรู้สึกหรืออารมณ์อย่างจริงใจหรือเป็นที่เรียกสั้น ๆ ของความรู้สึก เช่น ความประหลาดใจ, ความตื่นเต้น, ความสนุกสนาน, ความเจ็บปวด, ความโกรธ, หรือความตกใจ โดยมักจะมีเครื่องหมาย ! ปิดท้าย เครื่องหมาย ! ในภาษาอังกฤษคือเครื่องหมายที่เรียกว่า “exclamation mark” หรือ “exclamation point” ซึ่งใช้ในการแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกที่เร่าร้อน มักใช้หลังจากคำพูดที่แสดงความตื่นเต้น อัศจรรย์ โกรธ หรือรู้สึกอื่น ๆ อย่างจริงใจเพื่อเน้นความมีความสำคัญของคำพูดนั้น ๆ ในประโยค ในส่วนของคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับ interjection หรือคำอุทาน ได้แก่ “Wow!” (ว้าว), “Ouch!” (โอ๊ย), “Yay!” (เย้), “Oops!” (อุ๊ปส์), “Ah!” (อ่า), “Oh no!” (โอ้โห), “Bravo!” (เย้ค่ะ) เป็นต้น ตัวอย่างการใช้ interjection ในประโยค:

“Wow! That was amazing!” (ว้าว! มันช่างน่าอัศจรรย์!)

“Yay! We won the game!” (เย้! เราชนะเกม)

แชร์เลย